5/09/2550

หญิงจีนโบราณ

ท่ามกลางสำเนียงแผ่วพลิ้วของสายลม และแสงแดดอัน แห้งผาก ณ ชนบททางหรดีทิศของจีน หญิงชรานางหนึ่งนั่งทอดหุ่ยอาลัยวันวาน ที่ผ่าน ไปอย่างเดียวดาย ทว่า พลันที่เธอคลำฝ่าเท้าอันเรียวบางของเธอ อนิจจานัยน์ตาของ เธอกลับเอ่อล้นไปด้วยน้ำตา ที่พรั่งพรูมามิขาดสาย พร้อมภาพความเจ็บปวดในอดีตที่ ยากลืม เลือน โจวกุ้ยเจิน แม่เฒ่าวัย 86 เจ้าของเท้า ดอกบัวทองคำ ซึ่งมิเคยย่างกรายออกไปเกินกว่ากำแพงดินของหมู่บ้านหลิวอี้ว์ มณฑลหยุนหนัน (ยูนนาน) กระทั่งเมื่อ เธอเริ่มเต้นรำประกอบแผ่นเสียง เธอจึงเริ่มมีโอกาสได้ออกไปยลโฉมโลกภายนอก ที่จำ ต้องอุดอู้อยู่ในหมู่บ้านนั้น มิใช่ว่าเธอมิอยากออกไปท่องโลกกว้าง ทว่า ความ เชื่อคร่ำครึในสังคมจีนที่ " ขนาดเท้าเป็นมาตรฐานตัดสินคุณค่าของผู้หญิง ยิ่ง เล็กยิ่งงาม " ทำให้แม่เฒ่าโจวถูกจับมัดเท้าแต่เด็ก จนเท้าของเธอมีรูปร่างผิดแผก จากมนุษย์ทั่วไป ด้วยมีขนาดเท่าซองบุหรี่ ส่วนกระดูกเท้านั้นเล่า ก็งองุ้มผิด ธรรมชาติ มาตรความสวยงาม ที่สังคม ชายเป็นใหญ่ตั้งขึ้น เพื่อสนองตัณหาของตนนั้น กลับเป็นเครื่องพันธนาการสตรี ซึ่งถูกจองจำให้อยู่เหย้าเฝ้าเรือน ด้วยเท้าทั้งสองข้างของเธอถูกมัดตรึง จำกัด การเติบโตให้อยู่ในรองเท้าดอกบัวทองคำขนาดเล็กเพียงไม่กี่นิ้ว พอๆกับอิสรภาพของ เธอที่ถูกรัดตรึงโดยสภาพสังคมที่กำหนดให้สตรีเป็นเพียงวัตถุสนองตัณหาความใคร่ ของ ชาย ทว่าอย่างน้อย พวกเธอก็ยังพอมีทางหาความ สำราญเพียงน้อยนิดในบางโอกาส " ในสมัยก่อนพวกเราฟังเพลง ที่วัยรุ่นสมัยนั้นนิยม แล้วก็เต้นรำไปตามท่วงทำนองที่ได้ยิน ซึ่งเป็นเรื่องที่สนุกมาก พวกเรามีโอกาส ได้ไปแสดงที่คุนหมิง รวมทั้งได้รับเชิญไปยังปักกิ่ง และโตเกียว ถึงแม้ที่สุด แล้ว ฉันจะพลาดโอกาสงาม ด้วยมีปัญหาสุขภาพ " แม่เฒ่าโจวกล่าว ขณะแกว่งเท้า ขนาด 5 นิ้วของเธอไปมา พร้อมกับอวดรูปเธอกับเพื่อนคณะนักแสดงทุกคน ซึ่งถูกมัด เท้าจนเรียวเล็กเช่นเดียวกับ เธอ
เมื่อแม่เฒ่า กับเพื่อนนักแสดงเริ่ม เต้นรำประกอบเพลงเมื่อ เกือบ 25 ปีที่แล้ว ในขณะนั้น เป็นยุคทศวรรษที่ 1980 ที่จีนเพิ่งฟื้นตัว จากกระแสปฏิวัติวัฒนธรรม (ค.ศ. 1969-1976) ซึ่งเป็นช่วงที่กระแสซ้ายจัดครอบงำ จีนอย่างรุนแรง อะไรก็ตามที่เป็นตะวันตก หรือเป็นวัฒนธรรมของชนชั้นสูงเป็นสิ่ง นอกรีต และจะต้องถูก กำจัด ในยุคที่พวกเธอเริ่มสนุกสนานกับการเต้นรำนั้น มรดกตกค้าง จากการปฏิวัติฯยังคงอยู่ พวกเธอถูกมองว่าเป็นพวกนอกคอก เป็นคนแปลกในสายตาของ สังคม


550000003758606 หยังหยัง นักเขียนวัย 43 ซึ่งเติบโตมาท่ามกลางบรรยากาศ หมู่บ้านหลิวอี้ว์ รำลึกถึงช่วงเวลานั้นว่า " ฉันและเพื่อนๆต้องแอบรวมกลุ่มเต้น รำตามเสียงเพลง " เพราะกระแสตกค้างจากการปฏิวัติยังคงอยู่ หยังกลับมายังหมู่บ้าน เพื่อถ่ายทอดเรื่องราวของโจว และหญิงมัดเท้ารายอื่นๆกว่า 300 ชีวิต ซึ่งหยัง ประทับใจเรื่องราวของพวกเธอหลังได้ยินว่า แม่เฒ่าทั้งหลายต่างแอบเต้นรำประกอบ เพลง ซึ่งเป็นที่นิยมในหมู่วัยรุ่นสมัย หยัง
" คุณอาจจะเชื่อว่า สาวจากยุคประเพณีเก่าแก่เหล่านี้ ต้อง ต่อต้านการเต้นรำและเพลงสมัยใหม่ ทว่า น่าตกใจที่ พวกเธอกลับยอมรับสิ่งเหล่านี้ อย่างเต็มใจ...ที่จริงบรรดาสาวๆที่ถูกพันธนาการอยู่ในกรอบจารีตประเพณี กลับเต้น ได้ดีกว่าเราเสียอีก " หยัง กล่าว แม่เฒ่าโจว เอื้อนเอ่ยเรื่องราวของชีวิตห้วง 3 แผ่นดินของ เธอว่า ก่อนประธานเหมาสถาปนาสาธารณรัฐประชาชนจีนในปี ค.ศ. 1949 นั้น ชีวิตของพวก เธอแสนจะสุขสบาย ด้วยสังคมยังคงมีกระแสนิยมความงาม โดยวัดจากขนาดของเท้า ยิ่ง เท้าเล็กเท่าไหร่ยิ่งหมายถึง โอกาสที่มากขึ้นเท่านั้น เท้าดอกบัวทองคำของแม่ เฒ่าโจว ทำให้เธอได้มีโอกาสแต่งงานกับชายหนุ่มรูปหล่อ ฐานะดี ซึ่งชีวิตสมรสของ เธอก็ดำเนินไปอย่างสุขสม แม้จะต้องแต่งงานถึง 2 ครั้ง
กระทั่งยุคปฏิวัติจีนใหม่ของพรรคค้อนเคียว ที่พิชิตชัยชนะ ในปี ค.ศ. 1949 นั้น ชะตาของแม่เฒ่าก็ถึงจุดพลิกผัน เมื่อบ้านของเธอถูกยึด พ่อ แม่สามีคนที่ 2 ถูกทุบตีจนตาย เนื่องจาก ครองทรัพย์สินจำนวนมหาศาล ซึ่งเป็นสิ่ง ที่ขัดกับสังคมคอมมิวนิสต์ โจวถูกริบทรัพย์สิน จนเธอจำต้องยอมก้มหน้ารับชะตา กรรม ทำงานหนักในคอมมูน ทั้งที่เท้าทั้งสองข้างก็มิอำนวยให้เธอใช้แรงง งาน
ทว่า ฝันร้ายยังไม่จบ หยังเยี่ยว์สือ เพื่อนบ้านของ โจว สะท้อนประสบการณ์อันขมขื่นว่า " พวกเราต้องซ่อนเท้าเล็กๆ ด้วยการสวมใส่ รองเท้าขนาดปกติ ที่มีขนาดใหญ่กว่าเท้าของเรามาก " หญิงชราซึ่งครั้งหนึ่งเคยได้ รับการยอมรับว่า " เป็นสาวงามเจ้าของเท้าขนาด 3 นิ้ว! " กล่าว
แม้ดร. ซุนยัตเซ็นจะประกาศ ทลายประเพณีมัดเท้า ตั้งแต่ครั้งปฏิวัติซินไฮ่ ปี ค.ศ. 1911 ทว่า ครัวเรือนชนบทยังคงลักลอบมัดเท้า ตราบจนพรรคอมมิวนิสต์เถลิงอำนาจ ประชาชนถูกเกณฑ์ใช้แรงงานในคอมมูน ซึ่งเจ้า หน้าที่สามารถตรวจสอบได้อย่างชัดเจนว่า ครอบครัวใดยังคงมัดเท้าอยู่ ประเพณีโหด ร้าย ที่มีอายุนับพันปีจึงถึงกาล อวสาน
550000003758607 ตำนานที่นิยมอย่างแพร่หลายกล่าวว่า ประเพณีมัดเท้านั้นมี รากที่มา และการปฏิบัติอย่างจริงจังในราชสำนักถัง เมื่อจักรพรรดิหลี่อี้ว์ตก หลุมรักนางรำนามเหยาหนิง ซึ่งมีเท้าเล็กจิ๋วตามธรรมชาติ ขณะร่ายรำพร้อมสวม รองเท้าขนาดเล็ก พันด้วยผ้าไหมประดับไข่มุกขาวนวล และอัญมณีเลอ ค่า
ประเพณีดังกล่าวค่อยแพร่มายังชนชั้นล่าง ด้วยพวกเขาเชื่อ ว่า จะช่วยยกระดับทางสังคม และเสริมความงามให้กับหญิงสาว จนในที่สุด เท้าของ หญิงสาวกลายเป็นเครื่องตัดสินอนาคตชีวิตสมรส และความพึงพอใจทางกามารมณ์ที่ชาย พึงมีต่อหญิง ฉะนั้น หญิงสาวแดนมังกรจำนวนมาก จำต้องพิกลพิการเพราะวัตรปฏิบัติ สนองตัณหาชายดัง กล่าว
เพื่อที่จะได้เท้าขนาดเล็ก ซึ่งเรียกขานกันว่าเท้าดอกบัว (ในรายที่เล็กมากจะเรียกดอกบัวทองคำ) สาวน้อย วัย 6 ปี จะถูกนำตัวมาบิดงอรวบนิ้วเท้าทั้ง 5 เข้าหากัน จากนั้น จึงพันด้วยผ้า ลินินขาวสะอาด ไล่จากหัวแม่เท้ายันปลายเท้าอย่างแน่นหนา กระทั่งกระบวนการแสน ทรมานดังกล่าวผ่านไป กระดูกเท้าของหญิงสาวเหล่านั้น จะค่อยเติบโตอย่างผิดรูปผิด ร่างภายใต้รองเท้าเล็กกระจิดริด ซึ่งพวกเธอแต่ละคนจะทำขึ้นใช้ เอง
เมื่อเยื้องย่างด้วยท่าอ้อนแอ้นแล ดูสวยงาม ความเจ็บปวดแสนสาหัส ราวเข็มพันเล่มกลับทิ่มแทงพวกเธอมิรู้จบ เท้าที่ ถูกพันธนาการอย่างแน่นหนา จนเป็นแผลเน่าส่งกลิ่นเหม็น แต่ด้วยความจำยอม ปล่อย ให้ประเพณีจองจำอิสรภาพ พวกเธอจึงต้องจำทน ให้เท้าที่ดูสมส่วนสวยงามตาม ธรรมชาติ ต้องกลายสภาพเป็นเท้าคนพิการตลอด ชีวิต
126bangkokcity ครั้นจีนเข้าสู่ยุคปฏิรูปเปิดประประเทศ ชะตากรรม ของสตรีค่อยดีมากขึ้น ทุกวันนี้ ผู้หญิงสามารถเลือกกำหนดชะตาชีวิตตัวเองได้ มากกว่าแต่ก่อน บทบาททางสังคม และอาชีพการงาน ก็ก้าวหน้าอย่างมาก แม่เฒ่าเผยว่า เธอไม่รู้สึกเสียใจกับเรื่องที่ผ่านมา พร้อมกล่าวว่า " ฉันมีสามี 2 ลูก 4... คน หนึ่งก็เรียนอยู่ระดับมหาวิทยาลัย ผู้หญิงเดี๋ยวนี้ ก็สามารถขับรถได้ สิ่ง ต่างๆ ดีขึ้นกว่าก่อน เยอะ "
ทว่า ในกระแสบริโภคนิยมทุก วันนี้ เรื่องราวของแม่เฒ่านับวันจะยิ่งเลือนหาย เหลือเพียงตำนานและเรื่องเล่า ว่า " เคยมีประเพณีแสนโหดร้ายชื่อว่า " มัดเท้า " ในแผ่นดินจีน " หญิงสาวในห้วง พันปีต่างตกเป็นเหยื่อโศกนาฏกรรมดังกล่าว พวกเธอกำลังจะถูกลืม ใครเล่าจะเป็น ห่วง...ทวงสิทธิของเธอกลับมา... ใครเล่าจะรับประกันว่า... เรื่องเล่าโหดร้ายนี้ จะไม่เกิดขึ้นอีก เมื่อผู้หญิงยังถูกแปรเปลี่ยนเป็นวัตถุสนองตัณหา ระบายความ ใคร่ของบุรุษเพศ อย่างไม่สิ้นสุด...
129bangkokcity

ไม่มีความคิดเห็น: