5/28/2550

วิธีรักษาสิว

วันก่อนได้รับ e-mail forward จากเพื่อนเป็นเรื่องขำๆ ดีเอามา post ไว้ใน blog ไว้อ่านเล่นกัน
พร้อม ยัง ............. เริ่ม
วิธีนี้ อาจไม่เป็นผลดีต่อตัวเองนะคะ โปรดใช้วิจารณญาณในการ อ่าน
บอกทีละ ขั้นตอนเลยนะ



1. ตื่นเช้ามาวันแรก ... ให้อดข้าว
2. ข้าวกลางวันก็ ... ไม่ต้องกิน
3. พอถึงข้าวเย็นก็ ... ไม่ต้องกิน ( อดทนหน่อยนะใกล้แล้ว )
4. กลางคืน ... นอนพักผ่อนให้เพียงพอ
5. ตื่นเช้ามาอีกวันก็ ... อย่าเพิ่งกินข้าวเช้านะคะ
6. เมื่อเราไม่ได้กินข้าวมาทั้งวัน ... พอถึงตอน ... "สายก็จะ หิว"
.

.


สายก็จะหิวววววววววววววว......
.
.
.

"สายก็จะหิว" = สิวก็จะหาย

5/23/2550

กินอร่อยเดินสวนลุมฯ


การเดินทางในวันนี้เริ่มอีกครั้งในวันอาทิตย์สุดสัปดาห์ ซึ่งเป็นวันที่ใครๆต่างก็ชอบ เนื่องจากเป็นวันที่ได้ว่างเว้นจากการทำงานที่แสนเหนื่อยมาทั้งสัปดาห์ ก่อนออกเดินทางในวันนี้ตอนเช้าได้ฟังเพลงเพลงนึงที่ไม่ได้ยินมานาน ชื่อเพลง "ห่วงหา" จำชื่อนักร้องต้นฉบับไม่ได้แล้วค่ะ เพราะมีคนนำมาร้องหลายครั้ง ภาษาของเพลงมีความสวยงามมาก ถึงจะจำเนื้อเพลงไม่ได้ทั้งหมด...แต่ก็จำท่อนสร้อยที่มีความหมายดีมากๆ ได้ว่า " ในชีวิตคนทุกคน ย่อมจะมีช่วงชีวิตเลวร้าย ขอเพียงใครสักคน อยู่คอยช่วยเป็นกำลังใจ..มีใครสักคนคอยห่วงหา.." ฟังแล้ว ทำให้ความรู้สึกนึกย้อนไปในครั้งนึงที่เคยมีคนเข้าใจและห่วงหา บางครั้งนะคะ คนเรามักมีความทรงจำในภาพของคนที่เราเคยผูกพันติดอยู่เสมอในใจ แต่เวลาที่ผ่านไปกับสิ่งที่เปลี่ยนแปลงรอบข้างอาจทำให้คนคนนั้นหรือช่วงเวลาเหล่านั้นเลือนรางไป แต่เมื่อมีสิ่งกระตุ้นสักนิดนึง ภาพความทรงจำและความรู้สึกเก่าๆจะย้อนกลับมา และนั่นจะทำให้เรารู้เองว่าที่จริงแล้ว คนคนนั้นมีความหมายกับเรามากแค่ไหน...

การเดินทางวันนี้ มาถึงที่สีลมโดยบังเอิญ เนื่องจากเพื่อนร่วมทางบอกว่ามีร้านอาหารที่บรรยากาศดีมากๆอยู่ร้านนึง อยากให้ลองแวะไป.. หลังจากเราขึ้นรถไฟฟ้าใต้ดินมาลงสถานีสีลมแล้วก็เดินข้ามฝั่ง...เลี้ยวเข้าร้าน Bug & Bee เป็นร้านอาหาร 4 ชั้น มีที่นั่งพัก ..นั่งคุย..อย่างบรรยากาศเป็นกันเอง ใจกลางเมือง ที่เชฟทำอาหารให้ชมกันภายในร้าน ที่ชั้นหนึ่ง เมนูวันนี้ตามที่เห็นในรูป สุกี้แห้งผักรวม ที่น้ำจิ้มสุกี้ที่ราดมามีรสชาติเข้มข้น อร่อยมาก และแฮมชีสส์สลัดผักก็หอมชีสต์มากๆ เมื่อรวมกับโค้กที่ทำให้รู้สึกสดชื่น ก็ทำให้อาหารมื้อนี้ทั้งอิ่ม ทั้งอร่อยที่สุดเลยค่ะ
มีวัยรุ่นเยอะเหมือนกัน เพราะบรรยากาศสบายๆ แอร์เย็นฉ่ำ นั่งเล่นอินเตอร็เน็ทได้หากนำ Notebook มาเอง มีหนังสือหลากหลายประเภทให้เลือกอ่าน ..สำหรับฉันเพลินกับการกินต่อ ส่วนเพื่อนร่วมทางยังคงเพลินกับการหาภาพแอบถ่ายเหมือนเดิมค่ะ..
คลิกที่รูปเพื่อดูรายละเอียดร้าน

ร้านนี้อยู่ไม่ไกลจากสวนลุม ออกจากร้านเราจึงเดินทางไป สถานที่ออกกำลังกายของชาวกรุงยามเย็นต่อ

ก่อนเข้าสู่สวนลุมพินี ได้ทำการสักการะรูปปั้น ร.6 และแอบถ่ายภาพสวยๆ เก็บมาฝาก

วันนี้ที่สวนลุม คนเยอะมาก บ้างก็มาออกกำลังกาย บ้างก็มาพักผ่อน เหลือบไปเห็นนกพิราบตัวนึงที่อยู่ริมสระ ตัวอ้วนมาก แทบไม่เห็นคอ ยังไม่เคยเจอนกพิราบตัวอ้วนอย่างนี้เลยค่ะ นึกแล้วก็เป็นห่วงเพื่อนร่วมทางที่มาด้วยกัน เอ...สักวันนึงเค้าจะอ้วนอย่างนี้หรือเปล่านะ เอาเถอะค่ะ ถ้าป็นอย่างนั้น คงต้องพากลิ้งออกกำลังกายทุกวัน ร่วมกับการบริหารเพื่อลดพุง โดยใช้ Hula hoop เดี๋ยวคงกลับมาผอมได้นะคะ...
วันนี้ที่พบในร้านมีคู่รักหลายแบบเหมือนกัน ชายกับหญิง , หญิงกับหญิง ส่วนในสวนลุมฯ พบคู่รักระหว่าง ชายกับชาย แต่ก็คงไม่แปลกอะไรนะ คนสองคนขอเพียงมีความรู้สึกตรงกัน ผูกพัน..รักกัน.. องค์ประกอบอย่างอื่นก็สามารถมองข้ามไปได้หมดค่ะ ว่ามั้ย...ขอเพียงถ้าได้อยู่ด้วยกันแล้วมีความสุข ก็น่าจะเป็นเหตุผลที่เพียงพอ มากกว่ากฏเกณฑ์ใดๆของสังคมแล้ว..... ส่วนฉันขอเพลินกับการชมบรรยากาศสวยๆ กับชีวิตผู้คนในเมืองดีกว่า...วันนี้อากาศในยามเย็นดีมากๆเลยค่ะ
วันนี้ท้องฟ้า สวย เป็นบรรยากาศยามเย็น ใจกลางกรุง ที่ดีกว่าเดินห้างไปอีกแบบ ที่สำคัญทำให้เพื่อนร่วมทางได้ออกกำลังกายบ้าง เพราะคาดว่าคงไม่ได้ออกกำลังกายมานานมากแล้ว ... ในครั้งนี้ journey to the unknown กับกล้องเน่าๆ ที่บันทึกภาพจากมือถือตากล้องแสนทึ่ม ก็ได้จบลงไปอีกตอน คราวหน้าจะกลับมาเที่ยวละไม แบบไร้เป้าหมายอีกครั้ง และคงจะหากล้องดีๆมาบันทึกภาพสวยๆมาฝาก...ขอบคุณเพื่อนร่วมทางอีกครั้งที่ร่วมเดินทางมาด้วยกัน...

5/21/2550

เที่ยวกลางคืน กทม กัน

การเดินทางของเราเริ่มต้นอีกครั้ง....ในวันพุธกลางสัปดาห์พอดี.. ครั้งนี้เริ่มจากการทานอาหารที่ร้านสุดบรรยากาศดี ที่พระราม 3 ร้านชื่อ Good view เป็นการได้เดินทางกับเพื่อนที่ไม่ได้พบกันมานานกว่า13ปี ซึ่งไม่เคยคาดคิดว่าจะมีโอกาสได้เจอกันในวันนึง... บางครั้งคนเรามีชีวิตอยู่กับวันนี้ที่คาดเดาอนาคตไม่ได้ ว่าจะต้องเจอะเจออะไรบ้าง รู้แต่ว่า ต้องทำวันนี้ให้ดี มีความสุขที่สุดก็พอแล้ว จริงมั้ยคะ ..
ร้านนี้อยู่ติดแม่น้ำเจ้าพระยา บรรยากาศดีมากๆ โชคดีอีกนั่นแหละที่วันนั้น ฝนไม่ตก แต่กว่าจะไปถึงร้านก็นาน เพราะคนรู้ทาง(ซึ่งไม่จริง)พาหลงไปมาอยู่นาน ตามสไตล์ของเค้า ที่มีชื่อภาษาจีนว่า "หลงจิงจิง" ซึ่งเป็นชื่อใหม่ที่พึ่งเปลี่ยนค่ะ จากชื่อเดิม "หลงจิงป่ะ" ซึ่งก็เป็นชื่อที่สมกับตัวเองมากๆเลย...ทำให้เรากว่าจะไปถึงก็ประมาณสามทุ่มกว่าๆแล้ว กำลังหิวทีเดียว

บรรยายกาศดี....อาหารอร่อย... มีดนตรีเล่นให้ฟัง...ดนตรีเพราะมาก นักร้องร้องเพลงได้หลายสไตล์ เราขอเพลงไปหลายเพลง ได้ฟังแค่2เพลงแต่ก็เป็นเพลงที่สร้างความประทับใจ คือเพลง wonderful tonight กับเพลง better man ร้านนี้มี 2 สาขา ที่เชี่ยงใหม่ 1 ที่ และ กทม อีก 1 ที่

goodview-4 แผนที่
ภาพจาก http://www.goodview.co.th

ภาพบันทึกในร้าน จาก กล้องมือถือของเพื่อนร่วมทาง ในร้านบรรยากาศจะเป็นใต้แสงเทียนทำให้กล้องของเค้าซึ่งไม่มีแฟลช สามารถถ่ายได้เพียงเท่านี้ แต่ก็ได้บรรยากาศดีนะ..
เมื่อทานอาหารเสร็จ เพื่อนร่วมทางของเรา นำเราไปเที่ยวในผับแห่งหนึ่ง ใจกลาง กทม. จากเป้าหมายเดิมคือ RCA แต่หลงทางอีกโข ขับรถเลยยูเทริ์นบ้าง เลยทางเลี้ยวบ้าง เลยที่จอดรถบ้าง มั่นใจว่ามีทางทะลุบ้างจนไปเจอสถานที่ก่อสร้างที่เป็นทางตัน ทำยังไงก็ไปไม่ถึง RCA ซักที เลยต้องเปลี่ยนเป้าหมายใหม่ ไปผับแห่งนี้ซึ่งเค้ายังพอจำทางได้ ...ผับแห่งนี้เสียงดังด้วยเพลงที่เปิดสุดโวลุ่ม หนุ่มสาวต่างสนุกด้วยท่าเต้นที่ทันสมัย จุดขายของที่นี่น่าจะเป็นกล้องยาสูบประหลาด ที่เหล่านักเที่ยวเรียกกันว่า บาลากู่ รายละเอียดตามข้อมูลด้านล่างค่ะ

อุปกรณ์ที่ใช้เสพยาสูบชนิดหนึ่งที่มีชื่อเรียกว่า 'ฮุคคา' (hookah, hooka, huka) หรือ 'ชิชา' (shisha, shesha, shishah, sheesha, ) หรือ 'นาจิเล' (nargile,narghile,nargila) ซึ่งมีลักษณะเหมือนบุหรี่

'Hookah' มีต้นกำเนิดในประเทศตุรกีเมื่อ 500 ปีที่แล้ว 'Hookah' มีลักษณะคล้ายๆบุหรี่แต่ที่แตกต่างจากบุหรี่คือมีลักษณะการเสพต่างกับบุหรี่คือใช้วิธีสูดดมกลิ่นควันแทน และส่วนประกอบของ 'Hookah' ประกอบด้วย การนำยาสูบมาบดผสมกับเนื้อผลไม้ที่นำมาทำให้แห้งแล้ว (Dried fruit pulp) แต่หากหาวัตถุดิบไม่ได้จะนำใบยาสูบมาผสมกับกากน้ำตาลผลไม้ (Fruit molasses) และน้ำผึ้งแทน แต่ส่วนผสมที่ต้องมีแน่นอนของ 'Hookah' คือ ยาสูบ (Tabacco) การเสพ 'Hookah' ต่างไปจากการสูบบุหรี่คือต้องใช้เครื่องมือที่เรียกว่า'บาลากู่' ซึ่งมีสีสัน ลวดลาย และรูปแบบแตกต่างกันออกไปแล้วแต่ผู้ผลิตจะคิดค้นรูปแบบออกมาเพื่อให้ต้องตาต้องใจหมู่ผู้เสพ โดยเฉพาะวัยรุ่น และนอกจากนี้ 'Hookah' ยังมีกลิ่นและรสชาดแตกต่างกันออกไปแล้วแต่ส่วนผสมที่ผู้ผลิต 'Hookah' จะใส่ส่วนผสมใดเข้าไปเช่น 'Hookah' กลิ่นแอปเปิล กลิ่นกาแฟ กลิ่นมิ้นท์ เป็นต้น






ขอบคุณข้อมูลจาก สำนักงานอาหารและยากระทรวงสาธารณะสุข อ่านเพิ่มเติมได้ที่ http://www.fda.moph.go.th/fda-net/HTML/PRODUCT/ADDICT/news/hookah_news.html
อ่านเพิ่มเติมได้ที่ http://en.wikipedia.org/wiki/Hookah
ภาพจาก http://www.clubrive.com/ และ http://www.smoking-hookah.com/Guide/Setting-Up-Your-Hookah.asp

เราอยู่ในผับแห่งนี้ได้ไม่นาน เนื่องจากดึกมากแล้ว และอาจไม่คุ้ยเคยกับกลิ่นของบาลากู่เท่าไร ทำให้รู้สึกไม่ค่อยสบายนัก.. ขากลับได้ชมแสงสีของกรุงเทพตอนค่ำคืนที่มีแสงไฟมากมาย ดีเจเปิดเพลงเพราะๆ ฟังกันมาในรถ และสนทนากับเพื่อนสนิทและไม่ได้เจอกันนานมาก ซึ่งความรู้สึกนี้คงต้องจดจำไปอีกนาน...มีคนกล่าวไว้ว่า พรหมลิขิตกับความบังเอิญบางครั้งก็ใกล้กันจนแยกไม่ออก...อันนี้เห็นจะจริงค่ะ..

5/17/2550

เล่นสนุกกับ Widget กัน



ใครไม่มีเวลาเลี้ยงสุนัข มาเลี้ยงตัวนี้แทนสิ




5/13/2550

จิตรกรรมฝาผนังที่วัดพระแก้ว

... journey to the unknown ทางของเรา เริ่มอีกครั้งในวันที่12ที่ผ่านมา จากการพยายามไปจอดรถที่สโมสร ซึ่งเป็นที่จอดรถของนายพล แต่ด้วยความที่ใจไม่ด้านพอ ก็เลยต้องวนหาที่จอดใหม่ อยู่สักพัก หลังจากนั้นก็เริ่มเดินทางไปกับรถตุ๊กๆ ด้วยคนขับรถวัยรุ่นหัวใจเต็มร้อย วัย75 ปี (ที่ยังไหวอยู่) ซึ่งถ้าเป็นเพื่อนร่วมทางที่ไปด้วยกันบอกว่า ถ้าเค้าอายุ 75 เท่ากับลุงขับตุ้กๆคนนี้ อาจต้องนั่งเคี้ยวหมากอยู่บ้านเฉยๆเป็นแน่ เพราะปัจจุบันขนาดอายุเพียงแค่ครึ่งของคุณลุง ก็เริ่มหลงๆลืมๆจำอะไรไม่ค่อยจะได้แล้วล่ะ.....?
วันนี้เราไปเที่ยววัดพระแก้วกัน ได้ดูพิพิธพันธ์ที่เก็บสะสม ของมีค่าสมัยโบราณ ค่าเข้าชมเพียง10บาท ได้เห็นงานฝีมือของช่างสมัยโบราณหลายอย่าง ที่มีคุณค่ามาก อย่างเช่นเครื่องทองโบราณ ดาบขุนนาง และมีการนำเหรียญกษาปณ์ ที่ระลึกตั้งแต่สมัยรัชกาลที่5มาให้ชม นับว่าคุ้มค่า แต่เพื่อนร่วมทางที่ไปด้วยกันนั้น ไม่แน่ใจว่าได้ซึมซับคุณค่าของสะสมเหล่านี้แค่ไหน เพราะดูท่าว่าสนใจแอร์เย็นๆมากกว่านะ ..ที่จริงพิพิธพันธ์นี้ ก็เหมาะสำหรับนักท่องเที่ยวที่เหนื่อยจากการเดิน เพราะนอกจากจะได้ความรู้แล้ว ยังเป็นสถานที่ที่ใช้พักให้หายร้อนได้เป็นอย่างดีทีเดียว
ในวันที่เราไปนั้น อุโบสถที่ประดิษฐาน พระแก้วมรกตยังทำการซ่อมแซมอยู่ แต่ก็มีการกั้นสังกะสีป้องกันไว้เป็นอย่างดี มีความปลอดภัย วันนั้นมีนักท่องเที่ยวหลายชาติไปสักการะพระแก้วมรกตเป็นจำนวนมาก น่าปลื้มใจ ..โดยเฉพาะเมื่อพบชาวต่างชาติที่ชื่นชมกับศิลปกรรมของวัดและจิตรกรรมไทย
เมื่อดูงานจิตรกรรมฝาผนังที่วัดพระแก้ว เคยมีคนบอกว่าภาพจิตรกรรมฝาผนังที่นี้ ศิลปปินจะแทรกเรื่องเล่าอารมณ์ขันเอาไว้ในภาพให้ดู..แต่ต้องสังเกตกันหน่อยนะ ....
ผ่านมาหน่อยเราแวะเส้นทางประวัติศาสตร์ของระบอบการปกครองเมืองไทย ถนนราชดำเนิน และรับประทานอาหารที่ทานพระจันทร์ ถนนโบราณที่มนต์เสน่ห์
เพื่อนร่วมทาง พาเดินหลงทางด้วยความมั่นใจ ว่าจะไปถึงวัดพระแก้ว ทำให้เราเดินเลาะจากท่าพระจันทร์เข้าวัดสงฆ์ เพื่อไปวัดพระแก้ว หาทางออกอยู่สักพัก..และแล้วเราก็ถึงวัดพระแก้วซะที (ภาพแอบถ่ายจากด้านหลัง)..
จิตรกรรมฝาผนังวัดพระแก้ว ลองดูดี ๆจิตรกรได้วาดอะไรขำๆลงไปด้วย มีหลายภาพมาก ส่วนมากมักจะอยู่ด้าน
ล่างๆของรูปหรือก็บนๆไปเลย เพราะจุดสนใจของภาพส่วนใหญ่จะอยู่ ตรงกลางระดับสายตา ตัวที่สำคัญๆก็จะเป็นสีทองๆ แต่ตัวที่เป็น ตัวประกอบก็เป็นการลงสีธรรมดา

image001 รูปที่ 1 : ลิงอะไรเนี่ย จะตายอยู่แล้ว ยังสูบบุหรี่สบายใจอยู่อีก
image002 รูปที่ 2 : สาเหตุที่ทหารนายนึงไม่ยอมไปออกรบ
รูปที่ 3 : ส่วนนายนี้ก็ลืมเสบียงที่เมียอุตส่าห์ทำไว้ให้ ต้องวิ่งกลับไปเอา
image004 รูปที่ 4 : ลูกลิงเล่นกระต่าย
รูปที่ 5 : รูปนี้เห็นกันบ่อย แต่มีลิงบางตัว ออกนอกลู่นอกทางไปบ้าง
ู**รูปถ่ายบางส่วนได้จาก Photo Hunt และ e-mail forward จากเพื่อนๆ ...
เวลาเราไปวัดพระแก้วนอกจากไหว้พระ และชมกับความสวยงามอลังการ ศิลปวัฒนธรรมไทยแล้ว ต้องสังเกตจิตรกรรมฝาผนังด้วย จะได้ครบ สวย ประดับใจ และก็ อารมณ์ขัน อีก
ก่อนกลับได้ถ่ายรูป เรือที่จอดไว้ริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา กับวันอากาศดีๆ เมฆสวย มาฝาก เหนื่อยแต่ก็สนุก..ค่ะ ต้องขอบคุณเพื่อนร่วมทางที่พาไปชมสถานที่ดีๆ แม้ว่าวันนี้เค้าจะพาเดินหลงทางไปบ้าง แต่ก็ยังจำคำพูดที่เค้าได้บอกไว้อย่างมีสาระว่า... ถ้าจะอธิษฐานอะไรสักอย่างต่อสิ่งศักดิ์สิทธ์ก็ให้อธิษฐานเพียงแค่2อย่าง คือ"ขอให้มีปัญญากับความกล้า" เท่านี้ก็เพียงพอแล้วต่อการที่จะทำให้เราประสบความสำเร็จในสิ่งที่มุ่งหวัง...




เที่ยวละไม สวนสัตว์เปิดเขาเขียว


เราออกเดินทางช่วงเวลา 15:00 จากบางบึง ไป สวนสัตว์ ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง
เรามาท่องเที่ยวกัน ....................
การเข้าสวนสัตว์ครั้งนี้ มีค่าบริการ ผู้ใหญ่ 70 บาท เด็ก 15 บาท สามารถนำรถเข้าไปชมสัตว์ได้
ที่ตั้งอยู่เลขที่ 235 หมู่ที่ 7 ต.บางพระ อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี โทร.0-38298-195

ประวัติ : ในปี พ.ศ. 2512 คณะกรรมการองค์การสวนสัตว์ได้พิจารณาเห็นว่า สวนสัตว์ดุสิต มีพื้นที่น้อยแต่ปริมาณสัตว์มากเกินสมควรทำให้สัตว์อยู่กันอย่างหนาแน่น แออัด ในสิ่งแวดล้อมที่ผิดไปจากธรรมชาติ จึงเป็นผลให้การขยายพันธุ์ของสัตว์ป่าเป็นไปอย่างเชื่องช้า สัตว์ป่าที่หายากบางชนิดไม่มีการขยายพันธุ์เลย จึงมีมติรับหลักการใช้พื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติเขา-เขียว และเขาชมภู่ จังหวัดชลบุรี เพื่อดำเนินการสร้างสวนสัตว์-เปิดเขาเขียวโดยทางองค์การได้ส่งเจ้าหน้าที่ดำเนินการสำรวจร่วมกับเจ้าหน้าที่กรมป่าไม้ และได้รับอนุญาตให้ดำเนินการในปี พ.ศ. 2516 อ่านเพิ่มเติมได้ที่ wiki สวนสัตว์เขาเขียว


ฝูงกวางในช่วงแรกที่นำรถเข้าสู่ส่วนสัตว์เปิด แรด เพื่อนเราเอง .. : )
หนูยักษ์ ตัวเท่าแมวบ้านเลยนะเนี้ย !!!

ยีราฟขอยาว สิงโต คำรามอยู่ เสียงดังมาก
ก่อนออกจาก บ่อเสือ เราพบลูกเสือขาว ด้วย 2 ตัวนอนอยู่ในห้อง
เสือขาวไม่ใช่เสือเผือก เพราะเสือเผือกจะต้องไม่มีสีใด ๆ นอกจากสีขาว ขณะที่เสือขาวมีขนสีขาวคาดดำหรือน้ำตาล มีตาสีฟ้า ซึ่งเสือเผือกจะมีตาเป็นสีแดง ส่วนจุดเด่นอื่นของเสือขาว คือ มีจมูกและฝ่าเท้าสีชมพู ความจริงเสือขาวก็คือเสือโคร่งเบงกอลที่มียีนส์ขนสีขาวแทนสีส้มนั่นเอง
ในสภาพการเพาะเลี้ยงเสือขาวอาจมีอายุยืนถึง 20 ปี จะตกลูกครั้งละ 3-4 ตัว ลูกของเสือขาวที่มีขนสีเหลืองเรียกว่า “พันธุ์ทาง” จะมีพันธุกรรมของเสือขาวอยู่ในเลือด ลูกรุ่นต่อมาจึงมีโอกาสเป็นสีขาวได้ ซึ่ง 1 ในเสือ 6 ตัวที่มาจากสหรัฐฯ ก็เป็นเสือขาวพันธุ์ทางเช่นกัน

ช่วงที่เราออกมา ก็หนึ่งทุ่มพอดี มีการแสดงเต้นระบำคนป่า มีการจุดไฟที่ปากด้วย ภาพอาจไม่ชัดมากเนื่องจากไม่ได้เอากล้องไป ใช้กล้องมือถือถ่ายทำเองหมด



บันทึกได้เหมือนกันว่าไฟกำลังออกจากปาก นักแสดงคนนี้เชียวล่ะ
ขากลับ กทม. หลงทางนิดหน่อย ฝนก็ตก ทางก็มืด แต่ก็ สนุกดี กลับมาถึงที่พักปลอดภัย
จบตอนที่ 1 Journey to the unknown พบกันใหม่ :)


5/10/2550

แนะนำที่เที่ยวใกล้ๆ กทม.



มีสถานที่ท่องเที่ยวสวยๆ มีมากมาย วันนี้เราพาไปดู ทะเลใกล้ กรุงเทพฯ กันที่บางปู ชื่อร้าน ที่ร้านริมทะเล


About_Picture1672549111542
แผนที่การเดินทาง
map

5/09/2550

Another Japanese Beach

ทะเลกรุงเทพ คือ สวนสยาม ในญี่ปุ่นเขาสร้างทะเลในเมือง เอาภาพมาให้ดู ATT991582 ATT991580

หญิงจีนโบราณ

ท่ามกลางสำเนียงแผ่วพลิ้วของสายลม และแสงแดดอัน แห้งผาก ณ ชนบททางหรดีทิศของจีน หญิงชรานางหนึ่งนั่งทอดหุ่ยอาลัยวันวาน ที่ผ่าน ไปอย่างเดียวดาย ทว่า พลันที่เธอคลำฝ่าเท้าอันเรียวบางของเธอ อนิจจานัยน์ตาของ เธอกลับเอ่อล้นไปด้วยน้ำตา ที่พรั่งพรูมามิขาดสาย พร้อมภาพความเจ็บปวดในอดีตที่ ยากลืม เลือน โจวกุ้ยเจิน แม่เฒ่าวัย 86 เจ้าของเท้า ดอกบัวทองคำ ซึ่งมิเคยย่างกรายออกไปเกินกว่ากำแพงดินของหมู่บ้านหลิวอี้ว์ มณฑลหยุนหนัน (ยูนนาน) กระทั่งเมื่อ เธอเริ่มเต้นรำประกอบแผ่นเสียง เธอจึงเริ่มมีโอกาสได้ออกไปยลโฉมโลกภายนอก ที่จำ ต้องอุดอู้อยู่ในหมู่บ้านนั้น มิใช่ว่าเธอมิอยากออกไปท่องโลกกว้าง ทว่า ความ เชื่อคร่ำครึในสังคมจีนที่ " ขนาดเท้าเป็นมาตรฐานตัดสินคุณค่าของผู้หญิง ยิ่ง เล็กยิ่งงาม " ทำให้แม่เฒ่าโจวถูกจับมัดเท้าแต่เด็ก จนเท้าของเธอมีรูปร่างผิดแผก จากมนุษย์ทั่วไป ด้วยมีขนาดเท่าซองบุหรี่ ส่วนกระดูกเท้านั้นเล่า ก็งองุ้มผิด ธรรมชาติ มาตรความสวยงาม ที่สังคม ชายเป็นใหญ่ตั้งขึ้น เพื่อสนองตัณหาของตนนั้น กลับเป็นเครื่องพันธนาการสตรี ซึ่งถูกจองจำให้อยู่เหย้าเฝ้าเรือน ด้วยเท้าทั้งสองข้างของเธอถูกมัดตรึง จำกัด การเติบโตให้อยู่ในรองเท้าดอกบัวทองคำขนาดเล็กเพียงไม่กี่นิ้ว พอๆกับอิสรภาพของ เธอที่ถูกรัดตรึงโดยสภาพสังคมที่กำหนดให้สตรีเป็นเพียงวัตถุสนองตัณหาความใคร่ ของ ชาย ทว่าอย่างน้อย พวกเธอก็ยังพอมีทางหาความ สำราญเพียงน้อยนิดในบางโอกาส " ในสมัยก่อนพวกเราฟังเพลง ที่วัยรุ่นสมัยนั้นนิยม แล้วก็เต้นรำไปตามท่วงทำนองที่ได้ยิน ซึ่งเป็นเรื่องที่สนุกมาก พวกเรามีโอกาส ได้ไปแสดงที่คุนหมิง รวมทั้งได้รับเชิญไปยังปักกิ่ง และโตเกียว ถึงแม้ที่สุด แล้ว ฉันจะพลาดโอกาสงาม ด้วยมีปัญหาสุขภาพ " แม่เฒ่าโจวกล่าว ขณะแกว่งเท้า ขนาด 5 นิ้วของเธอไปมา พร้อมกับอวดรูปเธอกับเพื่อนคณะนักแสดงทุกคน ซึ่งถูกมัด เท้าจนเรียวเล็กเช่นเดียวกับ เธอ
เมื่อแม่เฒ่า กับเพื่อนนักแสดงเริ่ม เต้นรำประกอบเพลงเมื่อ เกือบ 25 ปีที่แล้ว ในขณะนั้น เป็นยุคทศวรรษที่ 1980 ที่จีนเพิ่งฟื้นตัว จากกระแสปฏิวัติวัฒนธรรม (ค.ศ. 1969-1976) ซึ่งเป็นช่วงที่กระแสซ้ายจัดครอบงำ จีนอย่างรุนแรง อะไรก็ตามที่เป็นตะวันตก หรือเป็นวัฒนธรรมของชนชั้นสูงเป็นสิ่ง นอกรีต และจะต้องถูก กำจัด ในยุคที่พวกเธอเริ่มสนุกสนานกับการเต้นรำนั้น มรดกตกค้าง จากการปฏิวัติฯยังคงอยู่ พวกเธอถูกมองว่าเป็นพวกนอกคอก เป็นคนแปลกในสายตาของ สังคม


550000003758606 หยังหยัง นักเขียนวัย 43 ซึ่งเติบโตมาท่ามกลางบรรยากาศ หมู่บ้านหลิวอี้ว์ รำลึกถึงช่วงเวลานั้นว่า " ฉันและเพื่อนๆต้องแอบรวมกลุ่มเต้น รำตามเสียงเพลง " เพราะกระแสตกค้างจากการปฏิวัติยังคงอยู่ หยังกลับมายังหมู่บ้าน เพื่อถ่ายทอดเรื่องราวของโจว และหญิงมัดเท้ารายอื่นๆกว่า 300 ชีวิต ซึ่งหยัง ประทับใจเรื่องราวของพวกเธอหลังได้ยินว่า แม่เฒ่าทั้งหลายต่างแอบเต้นรำประกอบ เพลง ซึ่งเป็นที่นิยมในหมู่วัยรุ่นสมัย หยัง
" คุณอาจจะเชื่อว่า สาวจากยุคประเพณีเก่าแก่เหล่านี้ ต้อง ต่อต้านการเต้นรำและเพลงสมัยใหม่ ทว่า น่าตกใจที่ พวกเธอกลับยอมรับสิ่งเหล่านี้ อย่างเต็มใจ...ที่จริงบรรดาสาวๆที่ถูกพันธนาการอยู่ในกรอบจารีตประเพณี กลับเต้น ได้ดีกว่าเราเสียอีก " หยัง กล่าว แม่เฒ่าโจว เอื้อนเอ่ยเรื่องราวของชีวิตห้วง 3 แผ่นดินของ เธอว่า ก่อนประธานเหมาสถาปนาสาธารณรัฐประชาชนจีนในปี ค.ศ. 1949 นั้น ชีวิตของพวก เธอแสนจะสุขสบาย ด้วยสังคมยังคงมีกระแสนิยมความงาม โดยวัดจากขนาดของเท้า ยิ่ง เท้าเล็กเท่าไหร่ยิ่งหมายถึง โอกาสที่มากขึ้นเท่านั้น เท้าดอกบัวทองคำของแม่ เฒ่าโจว ทำให้เธอได้มีโอกาสแต่งงานกับชายหนุ่มรูปหล่อ ฐานะดี ซึ่งชีวิตสมรสของ เธอก็ดำเนินไปอย่างสุขสม แม้จะต้องแต่งงานถึง 2 ครั้ง
กระทั่งยุคปฏิวัติจีนใหม่ของพรรคค้อนเคียว ที่พิชิตชัยชนะ ในปี ค.ศ. 1949 นั้น ชะตาของแม่เฒ่าก็ถึงจุดพลิกผัน เมื่อบ้านของเธอถูกยึด พ่อ แม่สามีคนที่ 2 ถูกทุบตีจนตาย เนื่องจาก ครองทรัพย์สินจำนวนมหาศาล ซึ่งเป็นสิ่ง ที่ขัดกับสังคมคอมมิวนิสต์ โจวถูกริบทรัพย์สิน จนเธอจำต้องยอมก้มหน้ารับชะตา กรรม ทำงานหนักในคอมมูน ทั้งที่เท้าทั้งสองข้างก็มิอำนวยให้เธอใช้แรงง งาน
ทว่า ฝันร้ายยังไม่จบ หยังเยี่ยว์สือ เพื่อนบ้านของ โจว สะท้อนประสบการณ์อันขมขื่นว่า " พวกเราต้องซ่อนเท้าเล็กๆ ด้วยการสวมใส่ รองเท้าขนาดปกติ ที่มีขนาดใหญ่กว่าเท้าของเรามาก " หญิงชราซึ่งครั้งหนึ่งเคยได้ รับการยอมรับว่า " เป็นสาวงามเจ้าของเท้าขนาด 3 นิ้ว! " กล่าว
แม้ดร. ซุนยัตเซ็นจะประกาศ ทลายประเพณีมัดเท้า ตั้งแต่ครั้งปฏิวัติซินไฮ่ ปี ค.ศ. 1911 ทว่า ครัวเรือนชนบทยังคงลักลอบมัดเท้า ตราบจนพรรคอมมิวนิสต์เถลิงอำนาจ ประชาชนถูกเกณฑ์ใช้แรงงานในคอมมูน ซึ่งเจ้า หน้าที่สามารถตรวจสอบได้อย่างชัดเจนว่า ครอบครัวใดยังคงมัดเท้าอยู่ ประเพณีโหด ร้าย ที่มีอายุนับพันปีจึงถึงกาล อวสาน
550000003758607 ตำนานที่นิยมอย่างแพร่หลายกล่าวว่า ประเพณีมัดเท้านั้นมี รากที่มา และการปฏิบัติอย่างจริงจังในราชสำนักถัง เมื่อจักรพรรดิหลี่อี้ว์ตก หลุมรักนางรำนามเหยาหนิง ซึ่งมีเท้าเล็กจิ๋วตามธรรมชาติ ขณะร่ายรำพร้อมสวม รองเท้าขนาดเล็ก พันด้วยผ้าไหมประดับไข่มุกขาวนวล และอัญมณีเลอ ค่า
ประเพณีดังกล่าวค่อยแพร่มายังชนชั้นล่าง ด้วยพวกเขาเชื่อ ว่า จะช่วยยกระดับทางสังคม และเสริมความงามให้กับหญิงสาว จนในที่สุด เท้าของ หญิงสาวกลายเป็นเครื่องตัดสินอนาคตชีวิตสมรส และความพึงพอใจทางกามารมณ์ที่ชาย พึงมีต่อหญิง ฉะนั้น หญิงสาวแดนมังกรจำนวนมาก จำต้องพิกลพิการเพราะวัตรปฏิบัติ สนองตัณหาชายดัง กล่าว
เพื่อที่จะได้เท้าขนาดเล็ก ซึ่งเรียกขานกันว่าเท้าดอกบัว (ในรายที่เล็กมากจะเรียกดอกบัวทองคำ) สาวน้อย วัย 6 ปี จะถูกนำตัวมาบิดงอรวบนิ้วเท้าทั้ง 5 เข้าหากัน จากนั้น จึงพันด้วยผ้า ลินินขาวสะอาด ไล่จากหัวแม่เท้ายันปลายเท้าอย่างแน่นหนา กระทั่งกระบวนการแสน ทรมานดังกล่าวผ่านไป กระดูกเท้าของหญิงสาวเหล่านั้น จะค่อยเติบโตอย่างผิดรูปผิด ร่างภายใต้รองเท้าเล็กกระจิดริด ซึ่งพวกเธอแต่ละคนจะทำขึ้นใช้ เอง
เมื่อเยื้องย่างด้วยท่าอ้อนแอ้นแล ดูสวยงาม ความเจ็บปวดแสนสาหัส ราวเข็มพันเล่มกลับทิ่มแทงพวกเธอมิรู้จบ เท้าที่ ถูกพันธนาการอย่างแน่นหนา จนเป็นแผลเน่าส่งกลิ่นเหม็น แต่ด้วยความจำยอม ปล่อย ให้ประเพณีจองจำอิสรภาพ พวกเธอจึงต้องจำทน ให้เท้าที่ดูสมส่วนสวยงามตาม ธรรมชาติ ต้องกลายสภาพเป็นเท้าคนพิการตลอด ชีวิต
126bangkokcity ครั้นจีนเข้าสู่ยุคปฏิรูปเปิดประประเทศ ชะตากรรม ของสตรีค่อยดีมากขึ้น ทุกวันนี้ ผู้หญิงสามารถเลือกกำหนดชะตาชีวิตตัวเองได้ มากกว่าแต่ก่อน บทบาททางสังคม และอาชีพการงาน ก็ก้าวหน้าอย่างมาก แม่เฒ่าเผยว่า เธอไม่รู้สึกเสียใจกับเรื่องที่ผ่านมา พร้อมกล่าวว่า " ฉันมีสามี 2 ลูก 4... คน หนึ่งก็เรียนอยู่ระดับมหาวิทยาลัย ผู้หญิงเดี๋ยวนี้ ก็สามารถขับรถได้ สิ่ง ต่างๆ ดีขึ้นกว่าก่อน เยอะ "
ทว่า ในกระแสบริโภคนิยมทุก วันนี้ เรื่องราวของแม่เฒ่านับวันจะยิ่งเลือนหาย เหลือเพียงตำนานและเรื่องเล่า ว่า " เคยมีประเพณีแสนโหดร้ายชื่อว่า " มัดเท้า " ในแผ่นดินจีน " หญิงสาวในห้วง พันปีต่างตกเป็นเหยื่อโศกนาฏกรรมดังกล่าว พวกเธอกำลังจะถูกลืม ใครเล่าจะเป็น ห่วง...ทวงสิทธิของเธอกลับมา... ใครเล่าจะรับประกันว่า... เรื่องเล่าโหดร้ายนี้ จะไม่เกิดขึ้นอีก เมื่อผู้หญิงยังถูกแปรเปลี่ยนเป็นวัตถุสนองตัณหา ระบายความ ใคร่ของบุรุษเพศ อย่างไม่สิ้นสุด...
129bangkokcity

5/08/2550

โรงแรมนี้ไว้นอนอย่างเดียว

เรื่องนี้แปลกๆ ดี นำภาพมาให้ดูกัน
เป็นโรงแรมไว้สำหรับนอนอย่างเดียว ..
http://farm1.static.flickr.com/202/489554460_d3cad48356_o.jpg http://farm1.static.flickr.com/205/489554458_4050832706.jpg
http://farm1.static.flickr.com/192/489554464_ea43615f4b_o.jpg