1/19/2552

ลาวเทิง ตอนที่ 8

มาถึงตอนสุดท้าย ของทริปตะลุยลาวเทิงแล้วครับ

หลังจากตะลุยขึ้นเหนือ ต่อไปเวียดนาม ไม่ได้
ผมก็ต้องย้อนกลับมาทางเก่า ออกไปทางหลวงพระบาง
เพื่อขึ้นเครื่องบินกลับเมืองไทย (แบกเป้สมบุกสมบันไม่ไหวแล้ว ขอทุ่นแรง ชั่วโมงนึงถึงบ้านดีกว่า)


(ดูแผนที่ประกอบ)


ค่ารถโดยสารจากโพนสะหวัน ไป หลวงพระบาง (รถบัสอีแก่แบบเดียวกับตอนไปนะแหละ)
85,000 กีบ หรือ 340 บาทไทย ใช้เวลาเดินทาง ราว ๆ 8 ชม.



ท่ารถโพนสะหวัน ออกมาตั้งนอกเมืองซะไกล ทำให้ต้องเสียค่าสามล้อเครื่องออกมาอีก 10,000 กีบ


เตรียมตัวขึ้นรถ ให้สังเกต ฝรั่ง 3 คน ด้านขวา มันมาทริปเดียวกับผมตั้งแต่วังเวียง
พักด้วยกัน ไปเที่ยวด้วยกันตลอด ตามติดราวกับผมเป็นพี่เลี้ยง เพราะได้ผมช่วยคุยสือสารต่อรองราคากับอ้ายลาว
พอไปถึงหลวงพระบาง เมืองฝรั่งเยอะ มันหายหัวจ้อย เข้ากลุ่มฝรั่ง ไม่สนใจผมไปเลย ไอ้พวกเวลลลลล

เส้นทางจาก โพนสะหวัน ไป หลวงพระบาง
ก็ขึ้นเขาวนไปวนมา คล้าย ๆ เส้นทางเดิม
แต่วิวทิวทัศน์ ทางไปโพนสะหวัน ดูจะสวยกว่า เขียวชะอุ่มกว่า
ทางจากแยกพูคูน ไปหลวงพระบาง ภูเขา ดูแล้ง ๆ แห้ง ๆ ยังไงไม่รู้
และที่สำคัญ อากาศ ร้อนอบอ้าว ไม่เหมือน โพนสะหวัน สวิตเซอร์แลนด์ลาว

ที่พักผมที่ หลวงพระบาง ชื่อ "เรือนพักจันสว่าง"
อยู่ด้านหลัง พระธาตุพูสี
บอกราคาแล้ว หลายคน "ช็อค"
ช็อค-ว่าทำไมหาที่พักที่ "ดี" และ "ราคาถูก" ได้ขนาดนี้
คืนละ 40,000 กีบ (160 บาท) เท่านั้นเองครับ
คือ มีพวกไกด์แนะนำโรงแรม มาพรีเซนต์ตั้งแต่ท่ารถแล้ว
ว่าที่นี่ดี เปิดใหม่ ราคาเพียง 80,000 กีบ เท่านั้น
ผมดูภาพพรีเซ้นต์แล้วก็ว่าดี โอเค แต่พูดทีเล่นทีจริงไปว่า
อยากพักเหมือนกัน แต่ถ้าไม่ได้ราคา 40,000 กีบ ไม่เอาหรอก
ปรากฏว่า หมอนั่น โอเคเฉย





ถ่ายจากระเบียงที่พัก เห็นยอดพระธาตุพูสีอยู่ตรงหน้า
แต่ทางด้านนี้ เป็นด้านหลังวัด เข้าไม่ได้ ต้องเดินอ้อม ไปเข้าด้านหน้า อีกบล็อกถนนหนึ่ง

ผมมาหลวงพระบาง ไม่ได้กะมาเที่ยวจริงจังนัก
ทั้งที่หลายคน บอกว่า "ชอบ" เมืองมรดกโลกของลาวแห่งนี้
แต่ผมกลับเฉย ๆ กระเดียดไปทาง "ไม่ชอบ" ซะมากกว่า
เพราะดูจะกลายเป็นเมืองท่องเที่ยว ฝรั่งชุม แบบ ปาย หรือแหล่งท่องเที่ยวในภาคใต้ของเราไปซะแล้ว
บริเวณดาวน์ทาวน์ของหลวงพระบาง ซึ่งเป็นที่ตั้งของ พิพิธภัณฑ์ (วังเก่าเจ้ามหาชีวิต) ตลาดมืด วัดพระธาตุพูสี
เต็มไปด้วย ร้านอาหาร "ขายฝรั่ง" ที่ฝรั่งมานั่งแช่กินเบียร์ เรียงราย ดูไม่ต่างกับถนนข้าวสารของเราสักเท่าไหร่

และที่สำคัญ บางอย่างของหลวงพระบาง ก็เหมือนอยาก "ได้เงิน" เสียจนน่าเกลียด
เป็นต้นว่า วัดที่อยู่ติดกับพิพิธภัณฑ์ เก็บเงินค่าเข้าไปในโบสถ์ 20,000 กีบ
ผมรู้สึกแหม่ง ๆ กับการ เก็บค่าผ่านประตูเข้าไปไหว้พระ เพียงเพราะว่า
วัดแห่งนี้ ตั้งอยู่ในย่านดาวน์ทาวน์ นักท่องเที่ยวเยอะ ก็เลย "สบช่อง-สบโอกาส" เก็บเงินซะเลย อย่างนั้นหรือ
เก็บค่าเข้าชม หากสถานที่นั้น มีสิ่งให้ควรเข้าชม ก็ไม่ว่าหรอก
แต่เก็บเงินหน้าโบสถ์ จะเข้าไปไหว้พระต้องเสียเงินนี่ มันเกินปายยยยย

วัดพระธาตุพูสี ที่ฝั่งตรงข้าม ก็เก็บค่าเข้าเหมือนกัน
โดยเก็บคนลาว 5,000 กีบ คนต่างชาติ 20,000 กีบ
แต่อันนี้ ผมอยาก(ปีน)ขึ้นไปไหว้พระธาตุ ที่ถือว่าเป็นพระธาตุคู่บ้านคู่เมืองลาว
ก็เลยยอมจ่าย......แต่ไม่วายเจ้าเล่ห์
เมื่อคนเฝ้าถามผมว่า เป็นคนลาว หรือ คนไทย
ผมรีบบอก คนลาว แล้วจ่ายห้าพัน เดินหนีไปทันที
ก่อนที่เขาจะสงสัย ให้ผมร้องเพลงชาติลาวให้ฟัง 555



ย่านดาวน์ทาวน์หลวงพระบาง ผมเลือกถ่ายร้านที่มันออกเก่า ๆ หน่อย
ถัดออกไป เป็นพระธาตุพูสี อีกด้านเป็นตลาดมืด (ตลาดขายสินค้าที่ระลึก)
ส่วนฝั่งตรงข้าม เป็นพิพิธภัณฑ์ ที่ประดิษฐานพระบาง และวัดที่เก็บค่าเข้าโบสถ์ (จำชื่อวัดไม่ได้)
ย่านนี้ คนหลวงพระบางจะเรียกว่า "บ้านเจ๊ก" เนื่องจากเมื่อก่อน เป็นชุมชนคนจีน
เป็นย่านเศรษฐกิจใจกลางเมือง แต่ตอนนี้ เมื่อเศรษฐกิจท่องเที่ยวบูม
ร้านรวงคนจีน ก็กลายเป็นร้านบาร์เบียร์ ร้านอาหารฝรั่ง ไปเกือบหมด


เมื่อขึ้นมาถึงตัวพระธาตุที่ตั้งอยู่บนยอดเขาย่อม ๆ ปรากฏว่าหามุมถ่ายภาพพระธาตุสวย ๆ ไม่ได้เลย
เพราะพื้นที่มีขนาดเล็ก แคบ มาก ต้องชันกล้องถ่าย ออกมาได้แค่นี้



เต๊ะท่าถ่ายรูป ให้คุณฝนเล็ก แอนด์ป้าเสลา เอาไปตัดต่อเล่นซะหน่อย
ภาพแรก ด้านหลัง คือ แม่น้ำโขง ครับ (คนลาวเรียก "น้ำของ")
ส่วนภาพหลัง เดินมาถ่ายอีกฝั่งหนึ่ง แม่น้ำที่เห็น เป็นคนละแม่น้ำ ไม่ใช่แม่น้ำโขงแล้วครับ
แต่เป็น "น้ำคาม" (ตอนอ่านชื่อภาษาอังกฤษ kam river ผมก็ไม่กล้าเรียก กลัวจะออกเสียงผิดเป็นน้ำอื่น 555)


โลกนี้กลมยิ่งนัก เมื่อลงจากพระธาตุพูสี มาเดินเตร็ดเตร่แถวตลาดมืด
ได้เจอ อ.สถาพร ศรีสัจจัง ศิลปินแห่งชาติ คนล่าสุด โดยบังเอิญ
จึงชักภาพร่วมกับคนดัง เก็บเอาไว้โม้หน่อย
ผู้หญิงในภาพ คือ พี่จี๋ อดีตเจ้าของ "ร้านหนังสือเล็กๆ" ที่ถนนพระอาทิตย์
ปัจจุบัน เปิดร้านดอกไม้ และ เลี้ยงแมว 50 ตัว อยู่ที่เชียงใหม่

จริง ๆ แล้ว จุดเด่น ของ หลวงพระบาง
คือเป็นเมืองที่มี วัด เยอะมาก
และแต่ละวัดก็สวย ๆ ตามศิลปะล้านช้าง ทั้งนั้น
สำหรับคนที่ชอบทัวร์วัด ไหว้พระ น่าจะมีความสุข ถ้าได้มาเที่ยวหลวงพระบาง
ยกเว้น วัดกลางเมืองที่เก็บค่าเข้าไปไหว้พระ วัดนั้นแล้ว
ผมยังมีโอกาส ไปตระเวน ไหว้พระ อีก 2 - 3 วัด
ไม่ได้ไปมาก เพราะเวลา ไม่เอื้ออำนวย
ถ่ายภาพ(ไม่ค่อยสวยเท่าไหร่)มาฝากกันครับ





จุดประสงค์ของการมาหลวงพระบาง ครั้งนี้
นอกจาก จะมาขึ้นเครื่องบินกลับไทยแล้ว
ผมยังอยากแวะมาเยี่ยม "น้องชาย" คนหนึ่ง
ที่มาลงหลักปักฐาน ทำธุรกิจอยู่ที่หลวงพระบาง นี้ด้วย

น้องผมคนนี้ มีชื่อเล่นว่า "แรก" หรือ ชื่อจริง ภัทรพงศ์ คงวิจิตร
อาจเคยได้ยินชื่อ หรือ คุ้น ๆ ผ่านตา กันบ้าง

ภัทรพงศ์ หรือ แรก เป็นนักเขียนสารคดีมือดีของเมืองไทยคนหนึ่งครับ
เขาเดินทางท่องเที่ยว ไปทั่วโลก มีผลงาน ทั้งภาพถ่าย และ หนังสือสารคดีท่องเที่ยว มากมาย
แต่ปัจจุบันดูเหมือนจะ "หยุด" การเดินทาง และ หัวใจ ไว้ที่หลวงพระบางเสียแล้ว


พ็อกเก็ตบุค "ใจคนและหนทาง" ผลงานของหน่มแรก เล่มนี้เขียนถึงหลวงพระบาง

เพราะหนุ่มแรกเกิดมาหลงเสน่ห์สาวลาว จนแต่งงาน ลงหลักปักฐาน อยู่ที่นี่
มีทายาทลูกครึ่ง ไทย - ลาว เป็นโซ่ทองคล้องใจ 2 คนแล้ว
และทำกิจการเลี้ยงครอบครัว ด้วยการเปิดรีสอร์ต ร้านอาหาร ร้านนวด-สปา อยู่ในพื้นที่เดียวกัน
ชื่อว่าร้าน "บัวกลางบึง"

นักเดินทางที่กลายเป็นนักธุรกิจ รายนี้
ใจใหญ่ และ จับใหญ่ มากครับ
เขาตัดสินใจทำธุรกิจที่พักนักท่องเที่ยว ที่คนอื่นไม่เคยทำ(หรือไม่กล้าทำ)
นั่นคือ เช่าที่ริมบึง ขนาดใหญ่ เปิดเป็นรีสอร์ตกลางสวน
โดยเน้นลูกค้ากระเป๋าหนัก ที่ไม่ชอบความจำเจ
ที่พักของเขามีราคาค่อนข้างสูง (สำหรับเมืองท่องเที่ยวแบบหลวงพระบาง)
คือ หน้าโลว์ซีซั่น 20 ดอลลาร์/คืน หน้าไฮ 30 ดอลลาร์
ซึ่งราคานี้ มีบริการอาหารเช้า แบบเจ้าของกินยังไง ลูกค้ากินอย่างนั้นด้วย
(ไม่ใช่ กาแฟ ขนมปังไข่ดาว โง่ ๆ ทั่วไป)
ผมก็ งง ๆ แกมไม่เชื่อ ว่า นักท่องเที่ยวจะรับได้กับราคาสูงขนาดนี้เหรอ
และ ห้องพัก ก็ออกจะ เดิ้น ๆ แบบที่ไฮซ้อไฮโซอาจไม่กล้าพัก
แต่เขาก็ยืนยันว่า มีทาร์เก็ตกรุ๊ป ที่สนใจ และจองข้ามปี ไว้ด้วยก็มี

ชมภาพรีสอร์ตริมบึง ของเขาดูละกันครับ

(นี่ไม่ใช่โฆษณาแฝง แต่เป็นการโฆษณาเต็ม ๆ เอิ๊ก ๆ ๆ ๆ)


คนที่นั่งหน้าดำ เหงือซก อยู่ในร้านอาหารน่ะ อย่าไปสนใจเลยครับ
เพิ่งลงมาจากพระธาตุภูสี ก็เลยมีสภาพเป็นหมาหอบแดด อย่างนี้
ให้ดูภาพบึง (ซึ่งเพิ่งขุดลอก รื้อบัวเก่าออก เตรียมรับซีซั่นใหม่ เลยไม่ได้เห็นภาพ "บัวเต็มบึง")
กับภาพบังกะโล ฝั่งตรงข้ามลิบ ๆ








หนุ่มแรก-น้องผมคนนี้ นอกจากจะ ใจใหญ่ และ จับใหญ่ อย่างที่บอกแล้ว
ยังถือได้ว่าเป็นคนไทย "ขาใหญ่" ในหลวงพระบาง อีกด้วย
คือใครไปใครมา ก็ต้องมาหาเขา
เขาให้การต้อนรับ ดูแล ให้ความช่วยเหลือ คนไทยที่ดัง ๆ ที่มีชื่อเสียง ที่ไปเยือนหลวงพระบาง เป็นกิจวัตร
ไม่ว่าจะเป็น อาจารย์ ส.ศิวรักษ์, เสกสรร ประเสริฐกุล, จิรนันท์ พิตรปรีชา, สุรชัย จันทิมาธร และอีกหลาย ๆ คน (อ่า...มาไลน์เดียวกับลุงถึก ณ สวีเดนเลยนะเนี่ย)
เรียกว่า ช่วยเหลือสังคม(ไทย) จนแทบไม่มีเวลาดูแลกิจการตัวเองเลยก็ได้

อย่างผมไปครั้งนี้ ก็ไม่กล้าจะไปพักรีสอร์ตเขา เพราะกลัวเขาจะคิดเงินถูก ๆ หรือไม่คิดเลย
แต่ก็ยังได้รับอานิสงส์ ความเป็น "ขาใหญ่" แห่งหลวงพระบางของเขา
ด้วยการ ได้ไปหาซื้อ ไวน์ถูก ๆ ดี ๆ ในตลาดมืด ในราคาพิเศษแล้วพิเศษอีก
แถมตอนจะกลับ เครื่องบินเต็ม เขาก็ยังสามารถ พูดกับ "นายสนามบิน" หลวงพระบาง
ขอที่ให้ผมได้เป็นกรณีพิเศษอีก ใหญ่ไม่ใหญ่ คิดดูเอาเอง
(เอา แค่ ที่-ที่เขาเช่าอยู่นี้ ก็เป็นของ รมต.ลาว - คหบดี - ผู้ดีเก่าหลวงพระบาง ติด ๆ กันหลายแปลง ที่เขาสามารถ "รวบ" เช่าเอามาทำรีสอร์ตในสวน อย่างที่คนลาวแท้ ๆ ยังยากจะทำได้)


ภัทรพงศ์ หรือ "แรก" หนุ่มไทยหัวใจหลวงพระบาง
กับลูกชายคนโต น้องมิ่งเมือง ที่ซนมากกกกก

และ อ้อ...แม้ไม่ใช่คนใหญ่ คนดัง ก็แวะไปเยี่ยมเยือนเขาได้ครับ
อย่างชาวอรุณสวัสดิ์ ที่จะไปเที่ยวหลวงพระบาง อยากไปพักในบรรยากาศ "กลางสวน"
เขาบอกว่า คิดค่าที่พักในอัตรา 500 บาท เท่านั้น
(ใครจะไป ติดต่อผ่านมาทางผม ก็ได้ จะเป็น "นายหน้า" เอ๊ย เป็นผู้ประสานงานให้)
แต่ถ้าไปช่วงไฮซีซั่น อาจจะเต็ม พักไม่ได้นะครับ เพราะเขาสร้างห้องไว้น้อยมาก
เน้นบรรยากาศ ไม่ให้มีลูกค้าพลุกพล่านจนเกินไป


อ่า...จบทริปการเที่ยวลาว ไว้แค่นี้ดีกว่า

คัดลอกมาจากเว็บ http://www.arunsawat.com/board/index.php?topic=4481.0
แบกเป้ขึ้นเขา ตะลุยลาวเทิง
ขอบคุณ K. คาเมสุมิฉาจารา ที่ได้เขียนบทความได้สะใจมากได้ความรู้และเต็มอิ่มการท่องเที่ยวแบบ ... journey to the unknown จริงๆ

1 ความคิดเห็น:

ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...

ขอบคุณสำหรับข้อมูลค่ะ