1/19/2552

ลาวเทิง ตอนที่ 7

มาต่อกันเลย ..
คิดว่า ร้อยทั้งร้อย ของคนมาเที่ยว โพนสะหวัน
ก็เพราะจะมาชม ทุ่งไหหิน (Plain of Jars) อันเลื่องชื่อ นะเอง

ทุ่งไหหิน คือพื้นที่ ที่มี "ไหหินโบราณ" ขนาดตั้งแต่สูงท่วมหัวคนลงมา ตั้งวางอยู่นับร้อย ๆ ลูก
ดูน่าฉงน แกมมหัศจรรย์ คล้าย ๆ สโตน เฮนจ์ ของประเทศอังกฤษ อยู่เหมือนกัน
ว่า เขา(คนโบราณ)เอาไหเหล่านี้ มาตั้งไว้กลางทุ่งโล่งทำไม ตั้งมากมายก่ายกอง
และต้องนำมาจากที่อื่น ซึ่งน่าจะไกลพอสมควร
เพราะบริเวณที่ตั้ง "ทุ่ง" ไม่มีภูเขาหิน หรือ หินก้อนโต ๆ พอจะสกัดเอามาทำไหได้เลย

ตามตำนานปรัมปราของคนลาว เขาว่าไหเหล่านี้คือ "ไหใส่เหล้า" ของท้าวฮุ่งท้าวเจือง
บรรพกษัตริย์ผู้ก่อตั้งประเทศลาว
คนลาวทั่วไปก็ยังเชื่ออย่างนี้อยู่


แต่ทฤษฎีของฝรั่งนักโบราณคดี บอกว่า ไหหินเหล่านี้ สร้างมาแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์
สันนิษฐานว่า น่าจะใช้ประกอบพิธีกรรมทางความเชื่อ เป็นต้นว่า ใส่ศพคนตาย หรือ ใส่กระดูก
หรือไม่ก็ เป็นการบูชาเทพเจ้า หรือ สิ่งที่เคารพยำเกรง


จะว่าไปแล้ว คนลาวเจ้าของทุ่งไหหินแท้ ๆ ดูจะไม่สนใจ ให้ความสำคัญ หรืออนุรักษ์รักษา มรดกทางประวัติศาสตร์ของตนสักเท่าไหร่
คงเพราะเห็นมาแต่อ้อนแต่ออก หลายชั่วอายุคนแล้วก็ได้
ว่ากันว่า จริง ๆ แล้ว "ไหหิน" ไม่ได้มีแต่ขนาดใหญ่โตมโหฬาร
ขนาดเท่าหม้อ เท่าไห จริง ๆ ก็มี
แต่โดนชาวบ้าน ขุด หยิบ หิ้วกลับไปบ้าน เอาไว้ดูเล่น แล้วก็ทิ้งขว้าง สูญหาย ไปซะเยอะ
เหลือแต่ขนาดที่ "ยกไม่ไหว" ทิ้งไว้คาทุ่ง ในปัจจุบัน
น่าเสียดาย เหมือนกัน

ในยุคสงครามเวียดนาม ที่ขบวนการกู้ชาติฝ่ายซ้ายของลาว ต่อสู้กับจักรวรรดิอเมริกาและพันธมิตร (พี่ไทยเราก็เป็นหนึ่งในนั้นด้วย)
เพื่อปลดปล่อยลาวไปสู่สังคมนิยม โดยมีเวียดนามและรัสเซียหนุนหลัง
กองกำลังกู้ชาติ ได้ซ่องสุมรวมพลใหญ่กันอยู่ที่ทุ่งไหหินนี่เอง
ทุ่งไหหิน จึงเป็นสมรภูมิรบที่ดุเดือด รุนแรงที่สุด ในลาว

ทหารปลดแอก ทหารรัฐบาลลาว รวมทั้ง "ทหารรับจ้าง" จากประเทศไทย
ที่รับเงินจากอเมริกามาสู้กับพี่น้องร่วมถิ่นสุวรรณภูมิ
ได้สังเวยชีวิต เป็นผีเฝ้าทุ่งไหหิน นับพัน นับหมื่นคน
ส่วนทหารอเมริกัน ผู้กระพือไฟสงคราม
ไม่ได้ล้มตายไปกับเขาด้วยหรอก เพราะไม่ได้ส่งทหารราบเข้ามาทางภาคพื้นดินเหมือนในเวียดนาม
เนื่องจากสงครามในลาวของอเมริกา เป็นสงครามที่ไม่ได้ประกาศ ไม่ได้บันทึกไว้ (ดูหนัง Air America แล้วจะเข้าใจ)
อเมริกาใช้วิธี นำเครื่องบิน B 52 มาทิ้งระเบิดปูพรม ไปทั่วทุ่งไหหิน
ซึ่งนอกจากจะทำให้ ทหารปลดแอก ล้มตายเป็นจำนวนมากแล้ว
ยังทำให้ "ไห" จำนวนมาก พังพินาศเสียหาย เพราะแรงระเบิด

ทุ่งไหหิน ในปัจจุบัน จึงกลายเป็น "ทุ่งระเบิด" ที่มีหลุมระเบิดขนาดใหญ่อยู่เต็มไปหมด
รวมทั้ง ลูกระเบิด ที่ยังมีอันตราย ฝังอยู่ใต้ดิน อีกมากมาย
ซึ่งในปัจจุบัน ก็ยังมีการสำรวจ เก็บกู้ระเบิด อยู่ตลอด
โดยหน่วยงาน MAG ซึ่งเป็นเอ็นจีโอสากล ร่วมมือกับรัฐบาลลาว

จากข้อมูลที่ได้มา การเก็บกู้ระเบิดในทุ่งไหหิน ดำเนินการสำเร็จไปแล้วเพียง 25 % เท่านั้น
ส่วนที่ปลอดภัยไร้ระเบิด ก็เปิดให้นักท่องเที่ยวได้เข้าชม

ด้วยเหตุนี้ การเข้าชมทุ่งไหหิน รัฐบาลลาวจึงไม่อนุญาตให้เดินทางมาเข้าชมกันเอง
เพราะอาจเดินไปเหยียบระเบิด เอาได้

การเข้าชมทุ่งไหหิน จะทำได้ผ่านทัวร์ที่รัฐบาลลาวอนุญาตเท่านั้น
ซึ่งน่าจะเป็นสาเหตุหนึ่ง ที่ทำให้ธุรกิจทัวร์ "ผูกขาด" อันนี้ ค่อนข้างจะมีราคาแพง
อัตราค่าทัวร์ทุ่งไหหิน ราคา 15 ดอลลาร์ต่อคน แต่นี่หมายถึง สามารถจัดกรุ๊ปทัวร์ได้ไม่น้อยกว่า 10 คนนะครับ
ถ้าต้องการเหมาทัวร์ไปเอง ในหมู่คณะเดียวกัน ไม่กี่คน ราคาจะแพงกว่านี้อีก

ทัวร์ทุ่งไหหิน จะมีไกด์ชาวลาวนำเที่ยว ซึ่งไกด์ส่วนใหญ่ก็คือ เอ็นจีโอของ MAG นี่แหละ
โดยจะพาไปชม 3 ที่ หรือ ที่เรียกกันว่า Site 1 - 2 - 3
ไซต์ 1 อยู่ห่างจาก โพนสะหวัน ประมาณ 10 กิโลเมตร ไซต์สุดท้าย จะไกลออกไปราว 40 กม.

ทัวร์ของผม มีผมเป็นคนไทยคนเดียวอีกตามฟอร์ม
โชคดีที่ไกด์ชาวลาว พูดอังกฤษได้ ประมาณภาษาอังกฤษ ไวยากรณ์ลาว ที่ฝรั่งฟังไม่ค่อยรู้เรื่อง
แต่ผมฟังเข้าใจดี เพราะก็มีวิธีพูดภาษาอังกฤษแบบเดียวกันนะแหละ เอิ๊ก ๆ

ชมภาพ "ไหหิน" กันให้จุใจเลยนะครับ ผมนำภาพรวม ๆ มาจากทั้ง 3 ไซต์ นะแหละ
ซึ่งก็แยกไม่ออกเหมือนกันว่า ภาพไหน เป็นของไซต์ไหน เพราะมันก็มีแต่ "ทุ่ง" และ "ไห" แบบเดียวกันหมด อิ อิ



ก่อนจะพาสู่ทุ่งไหหิน ขบวนทัวร์ของเรา ได้แวะชมอุตสาหกรรมสุราพื้นบ้านลาว
(ถ้าที่ไทย เรียกว่า โรงต้มเหล้าเถื่อน)
ภาพบน คือบ้านของนักต้มเหล้า ชาวม้ง
ส่วนภาพล่าง คือ โรงเหล้า เตากลั่น ควันโขมง
ที่ผมได้ทดลอง "เหล้าต้ม" ของลาวไปหลายจอก โดยชิมแล้วก็หลอกฝรั่งร่วมทัวร์ว่า
try some, not too strong มีฝรั่งหลงเชื่อ กระดกเข้าไป แล้วก็ร้องจ๊าก ไปหลายคน
กว่าจะออกจากบ้านเหล้าลาว ผมก็มึนไปพอสมควร



มาถึงแล้ว ทุ่งไหหิน





ไกด์ชาวลาว กำลังอธิบายให้ฟิลิปิโน สองคนนี้ ให้เข้าใจว่า
ไหหินบ้านไอ มันมีสองแบบนะยู แบบนึง เป็นหินทรายสกัด
อีกแบบ เป็นการปั้น ด้วยหินผสมกรวดผสมซิเมนต์โบราณ ยูโหวววววว
โอ้....ไอฟังไม่รู้เรื่อง ยูพูดอีหยังหว่า เว้าลาวเข้าใจกว่ามั้ง ตากาล็อกสองนายนั้น คงอยากบอกอย่างนี้





กลับจาก เที่ยวชม ทุ่งไหหิน
โปรแกรมท่องเที่ยว ที่โพนสะหวัน ของผม ก็ไม่มีที่จะไปอีกแล้ว

ความจริง ยังมี เมืองคูน ที่อยู่ไม่ไกล ประมาณไปเช้า กลับเย็น ได้
เขาว่า เป็นเมืองเก่า อะไรนี่แหละ
แต่ผมไม่ได้ไป
เพราะต้องใช้บริการ กรุ๊ปทัวร์ อีกตามเคย
ไม่ชอบ อยากไปเอง แบบอิสระเสรี มากกว่า

ธุรกิจทัวร์ ที่โพนสะหวัน ค่อนข้างเล็ก และรวมตัวกันเหนียวแน่น
แบบไม่แข่งกันขาย แต่ร่วมกัน "ผูกขาด" ให้ช่องทางนักท่องเที่ยวต้องมาใช้บริการนี้ ช่องเดียว
ผมก็เคย เซย์โน ไม่อาววว ดีกว่า

ตามโปรแกรมของผม
ผมเดินทางขึ้นมาทางนี้ เพื่อจะต่อเข้าไปยัง เวียดนาม ตอนเหนือ
ผ่าน ซำเหนือ ไปออกที่ ด่านนาแมว ซึ่งอยู่ไม่ไกลจาก ฮานอย นัก


(ดูแผนที่ประกอบ)


ผมจึงยุติการท่องเที่ยวในโพนสะหวัน
ไปที่เอเยนต์ขายตั๋ว เพื่อติดต่อซื้อตั๋วรถไปยัง ซำเหนือ
พร้อมกันนั้น ก็สอบถามเขา เกี่ยวกับเส้นทางและรถโดยสารที่จะออกจากซำเหนือ ไปยังชายแดนเวียดนาม

เอเยนต์ที่โพนสะหวัน บอกว่า
ไม่แน่ใจเหมือนกันว่า เส้นทางจากซำเหนือ ไปยังด่านนาแมว
จะมีรถประจำทางวิ่งทุกวันหรือเปล่า (หรือยังมีวิ่งอยู่หรือเปล่า)
เพราะเป็นหน้าฝน เส้นทางอาจเป็นหล่มโคลน หรือ ถูกตัดขาดไปแล้ว
เขาไม่แน่ใจ เลยแนะนำให้ผมไปสอบถามที่หน่วยงานเกี่ยวกับควบคุมเส้นทางเดินรถ
ที่ศาลากลางเมืองแปก ก่อนจะดีกว่า
จะได้ไม่เดินทางเสียเปล่า

เมื่อผมไปติดต่อเจ้าหน้าที่ที่ศาลากลาง
ก็ได้รับคำตอบคล้าย ๆ กัน
ว่าเส้นทางจากซำเหนือ ไป ชายแดนเวียดนาม มักจะใช้งานไม่ได้ในหน้าฝน
ไม่แนะนำให้ผมไป
และบอกต่ออีกว่า ด่านนาแมว ที่ผมจะออกไปนี้
ไม่ใช่เส้นทางนักท่องเที่ยว จะไม่มีที่พักหรือสิ่งอำนวยความสะดวกให้เลย
และเจ้าหน้าที่ด่านเขาอาจจะไม่ให้ผ่านเข้าเวียดนามก็ได้
ขู่กันแบบนี้ ผมก็ใจแป้วไปเหมือนกัน

เจ้าหน้าที่บอกอีกว่า
จริง ๆ ถ้าอยากเดินทางท่องเที่ยวเข้าจากลาวเข้าเวียดนามเหนือ
ควรจะไปใช้เส้นทาง จาก หลวงพระบาง ไปออก เดียนเบียนฟู ที่นักท่องเที่ยวทั่วไปนิยม
จากเดียนเบียนฟู จะขึ้นเหนือไป ซาปา หรือลงใต้ มา ฮานอย ก็สะดวก

แหม...มาบอกอะไรตอนนี้ หลงมาถึงนี่แล้ว ถึงมาบอก ฮ่วย
พวกโพสต์ในอินเทอร์เน็ต ก็หลอกเรา(หรือเปล่า)เหมือนกันนะเนี่ย
บอกตะลุยเข้าเวียดนาม ตามเส้นทางนี้แหละ
เราเลยจะเอาตาม

สรุปแล้ว ก็เลย เป็นอันว่า แห้ว ครับ
ไปเวียดนามไม่ได้ (ไม่กล้าไป)


เวียดนามอยู่ไม่ไกลเกินเอื้อม แต่....
ก็เอื้อมไปไม่ถึง


เซร็งเลยยยยยยย

ผมจึงต้องเปลี่ยนเส้นทาง หาทางกลับบ้าน
โดยจะย้อนกลับไปทาง หลวงพระบาง
เพื่อจับเครื่องบินกลับไทยครับ

ตอนต่อไป ผมจะพาเที่ยวชม หลวงพระบาง พอเป็นกระสัยนะครับ
ถือเป็นของแถมละกัน
เพราะโดยส่วนตัว ก็ไม่ได้ตั้งใจจะไปเที่ยวที่นั่น
และ บอกตามตรง...ผมไม่ประทับใจ ชื่นชอบ เมืองมรดกโลก ที่คนอื่นเขาชอบกันนักชอบกันหนา แห่งนี้เลย

1 ความคิดเห็น:

ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...

ขอบคุณค่ะสำหรับข้อมูลที่ดี